การปั้นแบบขด (Coiling Technique) คือเทคนิคดั้งเดิมในการสร้างภาชนะจากดิน โดยการกลิ้งดินให้เป็นเส้นยาวคล้ายเชือก แล้วนำมาขดซ้อนทับขึ้นไปทีละชั้นจนเกิดเป็นรูปทรง เช่น แจกัน หม้อ หรือชาม วิธีนี้ช่วยให้สร้างภาชนะขนาดใหญ่ได้โดยไม่ต้องใช้แป้นหมุน และเป็นหนึ่งในเทคนิคพื้นฐานที่สตูดิโอเซรามิกทั่วโลกยังคงสอนอยู่จนถึงปัจจุบัน
เทคนิคการปั้นแบบขดมีมาตั้งแต่กว่า 4,000 – 5,000 ปีก่อน พบได้ในหลายอารยธรรมโบราณ ทั้งในแอฟริกา อเมริกากลาง จีน และญี่ปุ่น เพราะเป็นวิธีง่ายที่สุดที่มนุษย์สามารถใช้สร้างภาชนะจากดินได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือซับซ้อน นับว่าเป็น “จุดเริ่มต้นของเครื่องปั้นดินเผา” เลยก็ว่าได้
โดยขั้นตอนหลักในการปั้นแบบขดก็ไม่ยาก ได้แก่ นวดดินให้นิ่มและไล่อากาศออก เพื่อป้องกันการแตกร้าวเมื่อเผา จากนั้นกลึงดินให้เป็นเส้นยาว ขนาดสม่ำเสมอ ความหนาประมาณนิ้วก้อย จึงค่อยๆ สร้างฐานชิ้นงาน โดยใช้แผ่นดินแบนเป็นฐาน หรือขดเส้นดินเป็นวงกลมแล้วปาดให้เรียบ แล้ววางเส้นดินซ้อนขึ้นไปทีละชั้น สามารถปรับแนวเส้นเข้าด้านในหรือออกด้านนอกเพื่อควบคุมทรงภาชนะ
จุดสำคัญที่ต้องระวังให้มากคือ การเชื่อมต่อแต่ละชั้น โดยจะต้องใช้น้ำดิน (Slip) ทาและเกลี่ยรอยต่อให้แนบแน่น ป้องกันการแยกตัว ปิดท้ายด้วยการตกแต่งและเก็บรายละเอียดผิวให้เรียบ หรือหากอยากโชว์ร่องขดเพื่อความสวยงามแบบดั้งเดิมก็ทำได้
สำหรับดินที่เหมาะสำหรับการปั้นแบบขด และเป็นที่นิยมมากๆ ได้แก่
-
ดิน Earthenware เป็นดินที่ขึ้นนรูปง่าย เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
-
ดิน Stoneware เป็นดินที่ให้ความแข็งแรงกับชิ้นงาน จึงเหมาะสำหรับงานที่ต้องการความทนทาน
-
ดิน Terracotta ให้สีส้มอมแดง นิยมใช้กันมากในงานหัตถกรรมและงานประดับตกแต่ง
ข้อดีของการปั้นแบบขด คือ ไม่จำเป็นต้องมีแป้นหมุน สามารถทำภาชนะขนาดใหญ่ได้ง่าย ทำให้งานมีเอกลักษณ์ สามารถโชว์ร่องขดหรือเก็บเรียบได้ และเป็นเทคนิคที่ใช้ได้ทั้งในงานศิลปะและงานภาชนะจริง